การใช้ Zero Trust Architecture ในการรักษาความปลอดภัยเมื่อทำงานกับ IT Outsource

สรุป 5 ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการใช้ Zero Trust Architecture กับ IT Outsource 

  1. Zero Trust ยึดหลัก “ไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้น” และตรวจสอบทุกการเข้าถึงอย่างเข้มงวด 
  1. การระบุทรัพยากรสำคัญและใช้นโยบาย Least Privilege ในการให้สิทธิ์การเข้าถึง 
  1. ใช้ Multi-Factor Authentication และการควบคุมการเข้าถึงแบบ Dynamic 
  1. เฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างต่อเนื่องด้วย SIEM และ User Behavior Analytics 
  1. • จัดการความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐานและสร้างความร่วมมือกับผู้ให้บริการ IT Outsource

ในปัจจุบัน อาชญากรรมทางไซเบอร์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ในสภาวะที่ภัยคุกคามเพิ่มขึ้นเช่นนี้ แนวคิดการรักษาความปลอดภัยแบบเดิมๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป 

Zero Trust Architecture กำลังเป็นคำตอบสำหรับความท้าทายนี้ โดยเฉพาะในบริบทของการทำงานร่วมกับ IT Outsource แนวคิดนี้ไม่เพียงแค่ “ไม่ไว้ใจใคร” แต่ยังหมายถึงการตรวจสอบทุกการเข้าถึงอย่างเข้มงวด แม้แต่จากผู้ที่เคยได้รับความไว้วางใจมาก่อน 

อย่างไรก็ตาม การนำ Zero Trust มาใช้กับ IT Outsource ไม่ใช่เรื่องง่าย องค์กรต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน IT ไปจนถึงการสร้างความร่วมมือกับผู้ให้บริการภายนอก ซึ่งบทความนี้จะอธิบายถึงการนำ Zero Trust มาใช้ในการรักษาความปลอดภัยเมื่อทำงานร่วมกับ IT Outsource 

1. ความเข้าใจเกี่ยวกับ Zero Trust Architecture 

  • หลักการพื้นฐานของ Zero Trust 

Zero Trust เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ตั้งอยู่บนหลักการ “ไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้น และตรวจสอบทุกอย่างเสมอ” แม้แต่ภายในเครือข่ายองค์กรเอง ในบริบทของ IT Outsource นั่นหมายถึงการไม่ไว้วางใจโดยอัตโนมัติแม้แต่ผู้ให้บริการภายนอกที่องค์กรทำงานด้วย 

หลักการสำคัญของ Zero Trust ประกอบด้วย 

  • การตรวจสอบและอนุญาตทุกการเข้าถึงอย่างเข้มงวด 
  • การใช้นโยบายการเข้าถึงแบบ Least Privilege 
  • การตรวจสอบและบันทึกกิจกรรมทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง 
  • ความแตกต่างจากโมเดลความปลอดภัยแบบดั้งเดิม 

โมเดลความปลอดภัยแบบดั้งเดิมมักใช้แนวคิด “Trust but Verify” ซึ่งให้ความไว้วางใจกับผู้ใช้หรือระบบที่อยู่ภายในเครือข่ายองค์กร แต่ Zero Trust ไม่ให้ความไว้วางใจโดยอัตโนมัติกับใครหรือสิ่งใด ไม่ว่าจะอยู่ภายในหรือภายนอกเครือข่าย 

ในกรณีของ IT Outsource โมเดลแบบดั้งเดิมอาจให้สิทธิ์การเข้าถึงแก่ผู้ให้บริการภายนอกอย่างกว้างขวางเกินไป แต่ Zero Trust จะตรวจสอบและควบคุมการเข้าถึงอย่างเข้มงวดในทุกครั้ง 

2. การประยุกต์ใช้ Zero Trust กับบริการ IT Outsource 

  • การระบุและจัดการทรัพยากรที่สำคัญ 

เมื่อนำ Zero Trust มาใช้กับ IT Outsource องค์กรต้องเริ่มจากการระบุและจัดการทรัพยากรที่สำคัญทั้งหมด ซึ่งรวมถึง 

  • ข้อมูลสำคัญขององค์กร 
  • ระบบและแอปพลิเคชันที่ผู้ให้บริการ IT Outsource ต้องเข้าถึง 
  • เครือข่ายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง 

การทำความเข้าใจและจัดการทรัพยากรเหล่านี้อย่างละเอียดจะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดนโยบายการเข้าถึงและการควบคุมที่เหมาะสมได้ 

  • การกำหนดนโยบายการเข้าถึงแบบ Least Privilege 

หลักการ Least Privilege เป็นส่วนสำคัญของ Zero Trust โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับ IT Outsource สิ่งที่องค์กรควรทำ คือ 

  • ให้สิทธิ์การเข้าถึงแก่ผู้ให้บริการเฉพาะส่วนที่จำเป็นสำหรับการทำงานเท่านั้น 
  • กำหนดระยะเวลาการเข้าถึงที่จำกัด 
  • ทบทวนและปรับปรุงสิทธิ์การเข้าถึงอย่างสม่ำเสมอ 

การใช้นโยบาย Least Privilege ช่วยลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีจากภายใน 

3. การยืนยันตัวตนและการอนุญาตในสภาพแวดล้อม Zero Trust 

  • การใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) 

MFA เป็นองค์ประกอบสำคัญของ Zero Trust เมื่อทำงานกับ IT Outsource องค์กรควรที่จะ 

  • กำหนดให้ใช้ MFA สำหรับการเข้าถึงทุกระบบที่สำคัญ 
  • พิจารณาใช้วิธีการยืนยันตัวตนที่หลากหลาย เช่น รหัสผ่าน, token, หรือ biometric 
  • ทบทวนและปรับปรุงวิธีการยืนยันตัวตนอย่างสม่ำเสมอ 
  • การควบคุมการเข้าถึงแบบ Dynamic และ Context-Aware 

Zero Trust ไม่เพียงแค่ตรวจสอบตัวตน แต่ยังพิจารณาบริบทของการเข้าถึงด้วย เช่น 

– ตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้ 

– อุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าถึง 

– เวลาและรูปแบบการใช้งาน 

การควบคุมแบบ Dynamic ช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนสิทธิ์การเข้าถึงตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสำคัญมากเมื่อทำงานกับ IT Outsource ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย 

4. การเฝ้าระวังและการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง 

  • การใช้ระบบ Security Information and Event Management (SIEM) 

SIEM เป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังและตรวจสอบในสภาพแวดล้อม Zero Trust โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับ IT Outsource SIEM ช่วยให้องค์กรสามารถ 

  • รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่งในเวลาจริง 
  • ตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติหรือน่าสงสัย 
  • สร้างการแจ้งเตือนและรายงานอัตโนมัติ 
  • การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้และระบบ (User and Entity Behavior Analytics) 

UEBA เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Zero Trust โดย 

  • เรียนรู้และสร้างโมเดลพฤติกรรมปกติของผู้ใช้และระบบ 
  • ตรวจจับความผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของการโจมตี 
  • ปรับปรุงความแม่นยำในการตรวจจับภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง 

การใช้ UEBA มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับ IT Outsource เนื่องจากช่วยในการตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติของผู้ให้บริการภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

5. ความท้าทายและแนวทางการจัดการในการนำ Zero Trust มาใช้กับ IT Outsource 

  • การจัดการความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐาน 

การนำ Zero Trust มาใช้กับ IT Outsource อาจเพิ่มความซับซ้อนให้กับโครงสร้างพื้นฐาน IT ขององค์กร แนวทางการจัดการรวมถึง 

  • การใช้เทคโนโลยีการจัดการตัวตนและการเข้าถึงแบบรวมศูนย์ 
  • การใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการนโยบายและการควบคุม 
  • การพัฒนาแผนการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจนและเป็นขั้นตอน 
  • การสร้างความร่วมมือกับผู้ให้บริการ IT Outsource 

ความสำเร็จของการนำ Zero Trust มาใช้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือที่ดีกับผู้ให้บริการ IT Outsource องค์กรควรที่จะ 

  • สื่อสารนโยบายและความคาดหวังด้าน IT Security อย่างชัดเจน 
  • ฝึกอบรมผู้ให้บริการเกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยขององค์กร 
  • ทบทวนและปรับปรุงข้อตกลงด้านความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ 

การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยร่วมกันระหว่างองค์กรและผู้ให้บริการ IT Outsource เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการใช้ Zero Trust 

สรุปแล้ว การใช้ Zero Trust Architecture ในการรักษาความปลอดภัยเมื่อทำงานกับ IT Outsource เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการยกระดับ IT Security ขององค์กรในยุคดิจิทัล แม้จะมีความท้าทาย แต่ด้วยการวางแผนที่ดีและความร่วมมือจากทุกฝ่าย Zero Trust สามารถช่วยให้องค์กรรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ

Virtualization (VM)

หลังรับการปรึกษา ลูกค้ากว่า 80% สามารถนำไปแก้ไขปัญหาเองได้ทันที